ในขณะที่กำลังช้อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางสินค้าที่มีอยู่นับพัน นับหมื่นชิ้นในห้างสรรพสินค้า คุณเคยสงสัยไหมว่าอะไรเป็นแรงดลใจให้เราเลือกหยิบสินค้าแต่ละชิ้นขึ้นมาจ่ายเงิน ทั้งๆ ที่ของบางอย่างก็ดูจะคล้ายคลึงกันจนแทบจะแยกไม่ออกหากไม่มีโลโก้แปะไว้ เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งของแรงดลใจที่ว่าคงหนีไม่พ้นตัวตนของแบรนด์ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในใจของผู้บริโภคได้ ดังนั้นแบรนด์จึงเป็นมากกว่าชื่อยี่ห้อ หรือรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นมูลค่าที่ผ่านการคิดค้น และสั่งสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนานจนเกิดเป็นความรับรู้ที่ชัดเจนในที่สุด

     เมื่อสินค้าสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำกับผู้บริโภคได้ แล้วในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางคู่แข่งที่มากมายในทุกสาขาอาชีพ ทำไมเราถึงจะสร้างแบรนด์ให้กับตัวเราเองไม่ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของหลักสูตร Brand Me โดยสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ John Robert Powers ที่ออกแบบ และคิดค้นโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง ธัญญา รอตก้า Marketing Manager, John Robert Powers, เพชรรัชต์ กันยาบาล Brand Manager ของ Club 21 ผู้ดูแลแบรนด์ Balenciaga Thailand และ Communication Coach ของสถาบันฯ และ ตฤณ อุ่นศิริยศ Brand Management Lecturer และ Image Consultant ของสถาบันฯ ซึ่งทั้ง 3 ท่านจะมาเผยวิธีการสร้างแบรนด์ให้กับตัวเราเอง พร้อมความสำคัญของการเป็นที่จดจำซึ่งจะทำให้คุณโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งมากมาย

     ธัญญา : Brand Me เกิดขึ้นจากการที่เราได้ไอเดียของการทำคอร์สให้กับองค์กรซึ่งเป็นคอร์ส Corporate Brand Ambassador คือเราได้โจทย์จากหลายองค์กรว่าต้องการให้คนขององค์กรมีบุคลิกภาพที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับบุคลิกภาพของแบรนด์ผ่านการแต่งกาย การพูดจา ภาษาท่าทาง และพฤติกรรมการแสดงออกทั้งหมด ที่จะมีผลต่อการสร้างการรับรู้ในฐานะที่บุคคลากรเป็นเหมือนตัวแทนภาพลักษณ์ของบริษัท จึงได้ไอเดียว่าคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันหลายคนต้องการมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ หรือสร้างอัตตลักษณ์ให้คนจดจำได้ เป็นที่มาที่ไปว่าเราน่าจะทำคอร์สสำหรับคนทั่วไป อาจจะเป็นลูกเจ้าของกิจการที่จะต้องเป็นตัวแทนให้กับธุรกิจของครอบครัวต่อ หรือคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะสร้างธุรกิจของตัวเอง เพื่อทำยังไงให้คนจดจำตัวเราและองค์กรควบคู่กันไปได้ หรือแม้แต่คนทำงานทั่วๆ ไป เราเลยมาคุยกันว่าถ้าอย่างนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ อะไรบ้าง ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง 

     เพชรรัชต์ : ส่วนของเราจะสอนเรื่องการสร้างสไตล์ในการสื่อสาร ซึ่งในคลาส Brand Me จะประกอบไปด้วยการค้นหา ความเป็นตัวตนที่แจริง และจุดยืนทางความคิดเพื่อเข้าใจความเป็นตัวตนของคนนั้นจริงๆ ก่อนที่จะเสริมเพิ่มเติมในสิ่งที่ เรามองเห็นว่าเขาสมควรจะมีเข้าไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างสไตล์เฉพาะตัวของการพูดจาสื่อสารผ่านโทนเสียง วิธีการใช้คำพูด ถ้อยคำที่สื่อความเป็นตัวตน และภาษากายที่สร้างการจดจำในแบบที่เป็นตัวเขามากที่สุด

     ตฤณ : ผมจะรับผิดชอบในส่วนของการแต่งตัว หรือเสื้อผ้า หน้าผม ซึ่งพอมาเป็น Brand Me แล้ว มันมีกระบวนการที่ซับซ้อนมากกว่านั้น ซึ่งเราเรียกว่าเป็น 5 Dimension Senses คือต้องเกิดจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า หน้าผม แต่รวมไปถึงกลิ่นหอมเฉพาะบุคคลด้วย จริงๆ ไอเดียนี้มีที่มาจากแนวคิดในการทำธุรกิจค้าปลีกอย่างเช่น Starbucks ที่ในร้านกาแฟจะมีกลิ่นของกาแฟตลอดเวลา โดยลักษณะการสอนก็จะเป็นแบบ personalize ตัวต่อตัว ที่เขามาเรียนแล้วจะได้เอกลักษณ์เหล่านี้ไปใช้เป็นของตัวเอง

      ธัญญา : ถ้ามองภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับเราเป็นโค้ช คือครั้งแรกที่เราคุยกับผู้เรียน เราก็ต้องถามเขาก่อนว่าในมุมของเขาทำไมเขาถึงอยากที่จะสร้างอัตตลักษณ์ หรือทำไมอยากให้คนจดจำเขาได้ คือต้องสัมภาษณ์ในเชิงลึกก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าถ้าเขาเข้าสู่กระบวนการนี้แล้วเขาจะสามารถนำไปใช้ได้จริงๆ เพราะคนไม่เหมือนสินค้าที่จะเติมสีสัน หรือสร้างโลโก้แปะแล้วเขาจะเป็นอย่างที่เราต้องการได้ทันที ดังนั้นเราต้องแน่ใจว่าในเหตุผลของการมาเรียนจริงๆก่อน หลังจากนั้นเราค่อยมาค้นหาความเป็นตัวตน วางแผนเส้นทางในการพัฒนาให้เกิดการจดจำแบบ 360 องศา แล้วคอยติดตามผลตลอดเวลาเพื่อประเมินว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือสิ่งที่ให้ไปใช้ไม่ได้ ก็ต้องกลับมาคุยกันใหม่ตามแต่สถานการณ์ที่เขาได้พบเจอ เหมือนโค้ชที่จะต้องคอยดูพัฒนาการของนักกีฬาอยู่ตลอด เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา และต้องใส่ใจในรายละเอียดมาก

      ตฤณ : จริงๆ ต้องบอกว่าบางคนไม่ได้มีแบรนด์ธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่เป็นพนักงานในองค์กรบางแห่ง หรือมีผู้เรียนบาง ท่านทำงานในธุรกิจขายตรง แต่หารู้ไม่ว่าเขาเป็นคนที่ต้องการการจดจำมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอาชีพไหนก็ ตาม อายุเท่าไหร่ก็ตาม ก็สามารถมาเรียนรู้ที่คลาสนี้ได้ ขึ้นอยู่กับความสนใจว่าเราจะนำเสนอตัวเองผ่านช่องทางไหน และ อย่างไรให้คนจดจำได้
     เพชรรัชต์ : สมมติว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับโอกาสจากผู้บริหารที่มอบตำแหน่งที่สูงขึ้นมาให้ เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่า เราเหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับ หรือในทางกลับกัน อาจจะมีคนที่มีความสามารถมาก เก่งทุกอย่าง ทำงานเก่ง ปฏิบัติได้ แต่ไม่รู้วิธีที่จะ นำเสนอตัวเอง ทำงานแทบตายก็อาจจะไม่เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน เพราะคนอื่นอาจจะมองไม่เห็นว่าคุณทำงานหนัก แค่ไหน ถ้าคุณไม่รู้จักวิธีนำเสนอตัวตนของคุณด้วย
      ธัญญา : เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีกิจการ หรือมีสินค้าอยู่ในมือแล้วเท่านั้นถึงจะมาเรียนคลาสนี้ แต่เป็นคนทั่วๆ ไปที่ต้องการสร้างการจดจำ คือทำยังไงที่เขาจะสามารถเลือกวิธีการแสดงออกไปยังบุคคลรอบตัว ทั้งการแต่งกาย สไตล์การพูดจา ท่าทางและมุมมองความคิดเพื่อทำให้คนจดจำเขาได้ นอกเหนือไปจากความสามารถในการทำงาน

     ตฤณ : อย่างแรกคือการจดจำ คือบางครั้งมันอาจจะต้องอาศัยการเห็นซ้ำๆ เพื่อให้เกิดการจดจำตามธรรมชาติ แต่บางคน ก็ไม่มีโอกาสบ่อยๆ ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งในตัวเราที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง เพื่อให้คนรู้จัก ชื่นชอบ และเป็นที่จดจำได้ เมื่อเรียนคลาสนี้จบทุกคนจะได้เอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเอง แล้วก็วิธีการนำไปใช้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด

     เพชรรัชต์ : ซึ่งในการเรียนก็จะครอบคลุมไปถึงการปูพื้นฐานเรื่องการดูแลตัวเองในเบื้องต้น ทำความเข้าใจตำแหน่งแห่งที่ที่ตัวเองอยู่ ความคาดหวังของสังคมต่อหน้าที่การงานของเราในปัจจุบันด้วย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับเหตุการณ์ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวันได้จริงๆ

     ธัญญา : น่าจะเป็นเรื่องของการสร้างความสำเร็จให้กับตัวเรา หรือธุรกิจ ความสามารถคงเป็นส่วนที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วที่ จะทำให้คนอื่นยอมรับในตัวเรา แต่การทำตัวเราให้กลายเป็น “แบรนด์” ที่น่าจดจำ ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่สำคัญที่ใช้ในการ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง เป็นตัวช่วยสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพนั้นๆ บางทีกว่าจะถึงจุดที่คนจะมองเห็นความสามารถ อาจต้องใช้เวลา อันนี้เหมือนเป็น shortcut ใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปเพื่อเร่งปฏิกิริยาทำให้คนมองเห็น และจดจำตัวเราได้ มากกว่านั้นยังเป็นการช่วยทำให้ธุรกิจมีแต้มต่อที่เหนือกว่าคู่แข่งได้อีกด้วย

     เพชรรัชต์ : การอยากให้คนจดจำไม่ได้หมายความว่าเด่นจนเกินหน้าเกินตา คือเด่นได้ แต่ต้องไม่เด่นแบบผิดที่ผิดทาง เราไม่อยากให้ใครก็ตามที่มาเรียนที่นี่ดูเป็นคน act cool แต่เราจะทำยังไงให้เขาเด่นเมื่อเขาได้แสดงความเป็นตัวตนของตัวเอง เหมือนเวลาที่เอาเพชรมาวางกับหิน ตอนแรกอาจจะไม่เห็นเพราะมันกระจายๆ กันอยู่ อยากให้เห็นภาพว่าเพชรไม่ได้ทำอะไร แต่พอลองเขย่าๆ แสงมันออกมาเอง

    ตฤณ : เรื่องของสไตล์ก็เหมือนกัน คือปัจจุบันเราจะเห็นทุกคนพยายามจะเชื่อมโยงตัวเองกับแฟชั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนสุดท้ายทุกคนจึงเหมือนกันไปหมด เพราะฉะนั้นเรามักจะบอกผู้เรียนทุกคนเสมอว่า style only whisper คือถ้าคุณมีสไตล์คุณไม่จำเป็นต้องตะโกนออกมาดังๆ ด้วยแบรนด์เนมแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง หรือถือกระเป๋าใบใหญ่ๆ พร้อมโลโก้ใหญ่ๆ แค่มีสไตล์ของคุณเองแล้วทำให้คนเห็นไปเรื่อยๆ เหมือนเสียงกระซิบที่ค่อยๆ กระซิบ แล้วที่สุดแล้วคนจะได้ยินเสียงเหล่านั้นเอง แล้วถ้าคุณอยากให้คนพวกนั้นได้ยินเสียงกระซิบ เขาต้องตั้งใจฟังคุณ ไม่ใช่คุณตะโกนให้ใครฟังก็ได้

     เพชรรัชต์ : อีกอย่างที่เรามักจะสอนผู้เรียนคือ ในวัฒนธรรมของคนไทย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน เพราะทุกคนรักตัวเอง ทีนี้จะทำยังไงให้คนที่เขาก็มีความเจ๋งเหมือนกันได้มองเห็นความเจ๋งของเราและยอมรับว่า เออ ถ้าเรื่องนี้ต้องยกให้เรา มันยากนะ คือเด่น แต่เป็นที่รัก มันก็จะมีความละเอียดในกระบวนการ ไม่ใช่ท่องจำแล้วจะจบ

     ธัญญา : คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะบอกได้ว่าถึงเวลาให้ยกมือแบบนี้ พูดประโยคนี้เรื่อยๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ เราถึงต้องมาดูตั้งแต่ต้นว่าเขาเป็นคนยังไง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขา เพื่อให้ทุกอย่างที่จะสร้างออกมามาจากตัวคนๆ นั้นจริงๆ เพื่อให้การแสดงออกมีความเป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่การเฟคเพื่อให้คนเห็นและจดจำ ไม่อย่างนั้นก็จะดูผิดที่ผิดทาง

     เพชรรัชต์ : เรามองว่าไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในวัยทำงานนะที่จะสนใจตรงนี้ แต่เรามองว่าด้วยสังคมแบบนี้ โอกาสและการแข่งขันของคนในสังคมมันมีเยอะขึ้นมาก เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนรู้มันเกิดขึ้นตลอด คนที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลามีข้อได้เปรียบ เหมือนเรากับติดอาวุธให้เขา ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรจะเลือกใช้อาวุธอะไร มันไม่ใช่ว่าอาวุธอย่างเดียวจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์

     ธัญญา : คือคนเราต้องเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นตัวเองให้เป็น รู้จักที่จะปรับตัวให้ถูกที่ ถูกทางและถูกเวลา รู้ว่าสถานการณ์ไหนควรจะหยิบอาวุธอะไรมาใช้เพื่อให้คนจดจำได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ลองมองคนที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันตอนนี้คนเหล่านั้นก็ให้ความสำคัญกับการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว การมีจุดยืนทางความคิดที่จะแสดงออกไปยังคนรอบข้างได้อย่างชัดเจน พร้อมๆกับความสามารถในการทำงาน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีบุคลิกด้อยแล้วค่อยมาทำให้ดีขึ้น เพราะบุคลิกเขาอาจจะดีอยู่แล้ว แต่สามารถพัฒนาไปได้อีก คือมาเรียนรู้ที่จะพัฒนาจุดแข็งให้ดีขึ้น และก็รู้จักควบคุมจุดอ่อนให้เป็น สำคัญสุดคือต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเราเอง เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องมั่นใจว่าเราทำได้ดีคือ การเตรียมพร้อมของตัวเราเอง About Brand Me Brand Me คือหลักสูตรใหม่ล่าสุดจากสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ John Robert Powers ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตัวเองให้กลายเป็น ‘แบรนด์’ ที่น่าจดจำ ด้วยการค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเลือกวิธีแสดงออกไปยังผู้คนรอบตัวผ่านการแต่งกาย สไตล์การพูดจา ท่าทาง และมุมมองความคิดทั้งในโลกจริงและโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กที่จะสะกดทุกคนให้จดจำคุณได้เหมือนแบรนด์เนมชื่อดัง ติดตามรายละเอียดของหลักสูตร Brand Me ได้ที่ HYPERLINK “https://www.johnrobertpowers.in.th” www.johnrobertpowers.in.th


รับรายละเอียดหลักสูตรและโปรโมชั่น
Add line@ ที่ @johnrobertpowers

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

???? โทร. 086 975 8818 , 081 658 2645
หรือติดต่อ E-Mail : chonticha@johnrobertpowers.in.th


Copyright 2024, All Rights Reserved JohnRobertPowers

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top